My new chapter of life

เอาล่ะ หลังจากชีวิตแบนเกลส่วนนึงของเราได้จากไป(?)

เราก็ได้เริ่มคิดที่จะวางแผนชีวิตใหม่ นั่นก็คือ…

การเรียนต่อในประเทศญี่ปุ่นที่เราเฝ้าฝันมาตั้งแต่ม.ปลาย

เอาจริงนะ ตอนนั้นเคยมองเรื่อง AFS ไว้ด้วย

แต่ด้วยความที่ที่บ้านฐานะกลางๆ เค้าก็คงหาเงินมาส่งเราไม่ได้

เลยล้มเลิกไป แล้วก็มาลองอีกทีตอนมหาลัย

APU ได้จัดแนะแนว แล้วก็เปิดให้สอบชิงทุนไปเรียนต่อ

ซึ่งตอนนั้นเราสอบผ่านข้อเขียน เหลือแค่สัมภาษณ์

ที่บ้านบอกว่า ต่อให้ได้ทุน100% ก็ไม่รู้จะไปหาเงินจากที่ไหนให้นะ

หมายถึงเงินในการใช้ชีวิตประจำวัน ค่าที่พัก ค่ากินอยู่

ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ศึกษาด้วยว่าทุน100%ของAPUซัพพอร์ตด้านไหนบ้าง

สรุปก็คือ ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์ เพราะโดนที่บ้านขู่ไว้

แล้วนี่ก็กลัวเรื่องเรียนไม่จบด้วย ถ้าเกิดที่บ้านส่งเราไม่ได้จริงๆ

ซึ่งเอาจริงป่ะ ตอนนั้นเรียนมหาลัยเอกชน และเราก็กู้กยศ.

สรุปเรียนจบมาก็มีหนี้แสนเจ็ด ก็เข้าใจว่าไปเรียนที่โน่นคงแพงกว่าอ่ะ

แต่ไหนๆจะมีหนี้แล้ว ไปที่ๆมันดีกว่าก็ดีกว่ามั้ยอ่ะ

จบมาทำงานที่โน่นเผลอๆใช้หนี้หมดแล้ว

แต่ก็นะ… ตอนนั้นยังไม่รู้ความอะไรเลย ก็เลยเรียนที่ไทยต่อไป

จุดพลิกผันในการเริ่มหาลู่ทางเรียนต่อ

อืม…ก็อย่างที่เกริ่นไปแรกๆ เมมเบอร์คนที่เราชอบลาออกจากวง

รวมถึงออกจากวงการไปเลย มันก็ทำให้เราเคว้งไปช่วงนึง

เลยพาแม่เที่ยวต่างประเทศแทน เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปซื้อความสุขให้ตัวเองยังไง

และปีต่อมาก็มีโควิด นั่นทำให้เราเริ่มคิดที่จะเก็บเงินเพื่อไปเรียนต่อ

ด้วยความที่ว่าเราชอบประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว หางานที่ญี่ปุ่นอยู่ตลอด

แต่อาจจะเป็นเพราะหุ่นและความสูง ทำให้เราแห้วอยู่ตลอดเช่นกัน

เลยรู้สึกว่าในเมื่อไปทำงานไม่ได้ งั้นก็ขอไปเรียนแล้วกัน

ตัดสินใจบอกที่บ้านว่าจะไม่ให้โบนัสตอนสิ้นปีแล้ว

จะเก็บเงินไปเรียนต่อ ซึ่งที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร

จะพูดให้ถูกก็คือแม่น่ะแหล่ะ ไม่ได้ว่าอะไร

ส่วนคนว่านั่นคือป้าที่เลี้ยงเรามา

เอาเป็นว่าไม่พูดถึงละกัน เพราะว่าเรื่องมันยาว

คือพอแม่สนับสนุนมา นี่ก็เลยคิดว่าจะตั้งใจไปให้ได้

มันคือครั้งนึงในชีวิตอ่ะเนอะ ก็เลยเริ่มหาข้อมูลมหาลัยต่างๆ

รวมถึงสถาบันสอนภาษาต่างๆด้วย

ซึ่งในไทยเราก็พอรู้อยู่แหล่ะว่า J-education ค่อนข้างมีชื่อ

แต่เคยฟังเงื่อนไขจากเพื่อนๆที่ไปกับที่นี่แล้ว

เค้าใช้statementในการยื่นสูงมาก (ประมาณ800k)

ซึ่งเราคำนวนมาแล้วว่าถ้าเราไป เราน่าจะเก็บไม่ถึงแน่นอน

แต่เพื่อนเราที่เคยไปเอง ไม่ผ่านagent เค้าใช้เงินแค่600kนิดๆ

เราเลยเริ่มมองหามหาลัยที่เปิดคอร์สเบกกะ別科สำหรับนศ.ต่างชาติ

ซึ่งแต่ก่อนก็มีเยอะเลยนะ เคยลิสท์ไว้หลายที่เลย เช่น

ม.โตไก ม.โซกะ ม.โอบิริน ม.นาโงย่ากักคุอิน ม.โอซาก้าอินเตอร์

จริงๆม.โอบิรินคือม.ที่เราเล็งไว้แรกๆเลย ตั้งแต่ที่เค้ามาเปิดบูทแนะแนวในไทย

เพราะว่าอยู่ใกล้โตเกียว ห้องพักเป็นห้องเดี่ยว

แต่พอจะส่งใบสมัคร ในเวปคือไม่อัพเดทมาหลายปีแล้ว

ก็เลยมองหามหาลัยอื่นๆ ซึ่งเราก็ไปเจอกับม.คันไซ

เป็นม.ที่ไม่ได้อยู่ในลิสท์ข้างบนเลย 555555

เรารู้สึกว่าเวปไซต์เค้าอัพเดทตลอดเวลาอ่ะ

เช่นบอกว่าปีนี้จะรับสมัครนักศึกษาเมื่อไหร่ ปีที่แล้วผ่านเข้าเรียนกี่คน

เราก็เลยรู้สึกว่า ม.เค้าดูแอคทีฟดีนะ (เวปเป็นภาษาอังกฤษด้วย)

เลยตัดสินใจเลือกม.คันไซไปนี่แหล่ะ จริงๆก็มีปัจจัยอื่นๆด้วย

เช่น ค่าเรียน ค่าหอ แล้วก็statement

ทุกอย่างดูเอื้อมถึงหมดเลย เช่น ค่าเทอม1ปีสำหรับเบกกะ

ประมาณ830kเยน เป็นเงินไทยประมาณ240kบาท

ค่าหอ48kเยน เป็นเงินไทยต่อปี162kบาท

ซึ่งมันดูเอื้อมถึงและเป็นไปได้มากๆสำหรับเรา

อีก2ปัจจัยก็คือ เราคิดว่าม.นี้คนไทยไม่น่าจะเยอะด้วยหนึ่ง

ส่วนสุดท้ายก็คือโอซาก้า!! USJ!!

เราเป็นคนที่ชอบสวนสนุกมาก ไปUSJก็บ่อย ไปFuji Qก็บ่อย

ม.คันไซก็คือตอบโจทก์เราได้ทุกอย่างเลย

จริงๆมาเลือกมหาลัยตอนซักประมาณกลางปีที่แล้วล่ะมั้ง

คือตัดสินใจเก็บเงินก่อน แล้วค่อยมาเลือกมหาลัย

วันนี้อัพเดทแค่นี้ก่อนละกัน ไว้โพสหน้าจะแชร์วิธีเก็บเงินของเราไว้เป็นกรณีศึกษา

Leave a comment